add sense

วันอังคารที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

สีผึ้งแม่เลียบ




สีผึ้งแม่เลียบ ไม่ใช่ลิปมัน แต่เป็นลิปลอกปาก

ช่วยลอกผิวปากที่ตายๆ ออกจากริมฝีปากเรา หรือที่ได้ยินบ่อยๆ เรียกเพราะๆ ว่าผลัดเซลล์ผิว (รึเปล่า)
ราคา: 25 บาท จากแผงขายสมุนไพร แถวตลาดห้วยขวาง

วิธีใช้:
1. ทาก่อนนอน
2. ตอนเช้าขัดริมฝีปากด้วยแปรงสีฟัน หรือผ้าขนหนู ผิวแห้งๆ ของปากจะลอกออกมา
3. ปากจะชมพูขึ้น อันนี้ส่วนตัวรู้สึกเหมือนกัน ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่านะ แต่ผิวที่ริมฝีปากปากมันลอก ก็น่าจะชมพูอยู่ เพราะยังผิวอ่อนแอ (รึเปล่า)

เปรียบเทียบกับที่รีวิวอื่น:  
หลายๆ รีวิวบอกว่าให้ทาก่อนทาลิปสติก ลิปจะไม่ตกร่อง ปากไม่แห้ง เราตั้งใจหาซื้อมาด้วยเหตุผลนี้เลย เพราะอยากใช้ลิปที่ราคาถูกหน่อยแต่ปากไม่แห้ง  แต่เราลองรอบนึงแล้ว มันทำให้ลิปเป็นคราบสุดๆ เพราะเหมือนผิวลอก แล้วเกาะลิปออกมา น่าจะขึ้นอยู่กับสภาพผิวริมฝีปากปากของแต่ละคน ถ้ากล้าๆ เดี๋ยวจะลองใหม่

สรุป: 
ตั้งใจซื้อมาทาก่อนลงลิปสติก แต่ตอนนี้ผันตัวไปเป็นลิปลอกปากไปซะแล้ว แต่ถ้าหมดแล้วเดินเจอก็คงซื้อต่อ (เพราะมันหาซื้อยากมาก) มันทำให้ริมฝีปากบางๆ ทาลิปสวยขึ้น ชอบ

___________________________________________________________________________________

วันเสาร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2557

ปัจจัย 4


สมัยเด็กทุกคนต่างได้เรียนเรื่องปัจจัย 4 สำหรับการดำรงชีวิตกันทั้งนั้น แต่พอโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ ใช้ชีวิตผ่านไปทุกคนดูเหมือนกลับลืมเลือนว่าสิ่งที่จำเป็นจริงๆ ของคนเรานั้นคืออะไร วันนี้ จึงขอมาทบทวนกันซักนิด

ความจำเป็นในอดีต
2 อันแรก 
1. อาหาร เพื่อให้ชีวิตมีแรง มีพลังงาน ในการนอน นั่งยืน เดิน ทำงานหากินมื้อต่อๆไป
2. ที่อยู่อาศัย เพื่อให้ชีวิตมีที่หลับนอน และมีที่ทำกิน 

แต่อีก 2 
3. เครื่องนุ่งห่ม ปกปิดร่างกาย ให้ความอบอุ่น ส่วนตัวคิดว่ามนุษย์เมื่อก่อนแบบสมัยยุคหินคงไม่จำเป็น
4. ยารักษาโรค อันนี้เมื่อก่อนยิ่งไม่มี มีแต่สมุนไพร ใครป่วยก็ตายไป

ส่วนตัวคิดว่าจริงๆ ที่สอนกันมาแบบนี้ น่าจะเรียงลำดับความสำคัญจากหน้าไปหลัง แต่ก็แล้วแต่บางตำราอาจจะเป็น อาหาร เครื่องนุ่มห่ม ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย แต่เราว่าตามที่เรียงด้านบน น่าจะถูกที่สุด 

ความจำเป็นในปัจจุบัน
1. อาหาร คำคมในอดีต "กินเพื่ออยู่ ไม่ได้อยู่เพื่อกิน" แต่คนในปัจจุบันเหมือนจะหลงลืมจุดประสงค์ของการกินไปกลับอยู่เพื่อกิน ไม่ได้กินอาหารเพื่อพลังงานอีกต่อไป สังเกตได้จากการพัฒนาขึ้นของขนมต่างๆ และอาหารราคาแพง หายาก ที่ต้องสรรหามากินกัน จนถึงขั้นกินเกินที่ร่างกายต้องการ เป็นเหตุของโรคภัยต่างๆ 
2. ที่อยู่อาศัย ถ้าเป็นชาวเกษตรกร ต่างจังหวัด ที่อยู่อาศัยก็คงหนีไม่พ้นส่วนหรือไร่ที่สามารถทำกินได้ด้วย แต่ในเมืองที่ที่อยู่อาศัยกลับเป็นแค่ที่ใช้หลับนอนยามคำ่คืนจากการทำงานเท่านั้น
3. เครื่องนุ่งห่ม การแต่งกายสมัยนี้ คงไม่เน้นเพื่อปกปิดร่างกาย แต่เป็นไปตามค่านิยมหรือแฟชั่นแต่ละยุคแต่ละสมัย
4. ยารักษาโรค เมื่อเจ็บป่วย จึงต้องใช้ยารักษาโรค และในปัจจุบันแนวโน้มการป่วยของคนเราก็เหมือนจะเพิ่มขึ้น มีโรคต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ยารักษาโรคจึงเป็นสิ่งจำเป็น 

การที่กลับมาทบทวนถึงปัจจัย 4 และการย้อนกลับไปยังอดีตว่าทำไมทั้ง 4 อย่างนี้จึงเป็นที่พร่ำสอนกันมา สามารถประกอบการใช้ชีวิต และการใช้เงินได้เหมือนกัน
_______________________________________________________________________________

วันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

หนังเศร้ามาก Now Is Good

หนังเรื่องนี้เป็นหนัง Sad Ending ที่ทำให้น้ำตาไหลพรากเลยทีเดียว สาเหตุที่คิดจะดูหนังเรื่องนี้เนื่องจากนางเอก คือ Dakota Fanning ที่ส่วนตัวที่ชอบ โดยไม่ได้ดูว่าเป็นหนังประเภทไหนใน IMDB ก็ระบุว่าเป็น Drama Romance แต่ไม่ได้บอกว่า Sad หรือ Happy จริงๆ น่าจะเพิ่มตรงส่วนนี้ด้วยนะ จะเป็นประโยชน์ต่อการเลือกหนังดูมากๆ 

แอบบอกก่อนว่าขอสปอย เพราะหลังจากดูจบพยายามหาอ่านสปอยหนังเรื่องนี้อ่าน หายากมากอาจจะเป็นเพราะเป็นหนังที่เศร้ามากๆ ขนาดตัวเองก็เกือบปิดตอนดูไปได้ครึ่งเรื่องแล้ว แต่เนื้อเรื่องหนังดึงเราให้ดูถึงตอนจบ แต่ก็แอบมีเร่งหนังให้เร็วนิดๆเพราะเดินเรื่องช้ามากเหลือเกิน ช้ามาก เศร้ามาก แอบอยากดูให้จบโดยไม่เศร้ามาก

หลังจากเริ่มเรื่องไปซัก 10 นาทีก็จะรู้ว่านางเอกป่วย และผ่านไปครึ่งเรื่องก็จะรู้ว่านางเอกจะตายตอนจบแน่ๆ ทั้งๆที่นางเอกเพิ่งจะพบรักกับพระเอกหนุ่มข้างบ้าน ซึ่งนางเอกก็มี List สิ่งที่อยากจะทำก่อนตาย แต่พอดูจบเรื่องจะรู้ว่าทำได้ไม่หมด ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้า ขนาดจะตายแล้วยังทำสิ่งที่อยากทำได้ไม่ครบ

เนื้อเรื่องในส่วนของนางเอกกับพระเอก ก็เหมือนวัยรุ่นที่เพิ่งพบรักกันทั่วๆ ไป ยกเว้นแค่ว่าทั้งคู่รู้ว่ามันต้องจบ การที่รู้ว่าอะไรมันต้องจบเนี่ยมันเป็นอะไรที่ทรมานนะ ดูไปก็เศร้าใจแทนพระเอกไปที่สุดท้ายต้องเป็นคนอยู่ และก็ซึ้งในพระเอกมากโดยเฉพาะฉากท้ายเรื่องที่พระเอกมาดูแลนางเอก อาบน้ำให้ นอนกอดข้างๆ จนนางเอกตาย

ฉากที่ประทับใจ คือฉากที่นางเอกถามพยาบาลว่า ตอนจะตายมันจะเป็นยังไง และเจ็บไม้ แล้วพยาบาลตอบว่า จะค่อยๆ หมดแรงไป และไม่เจ็บเพราะฤทธิ์ยา แต่จะเหมือนฝันไป ซึ่งพอตอนจบก่อนนางเอกตาย นางเอกก็ฝันถึงสิ่งที่อยากจะทำ คืออยู่กับครอบครัว พระเอก และเพื่อนรัก ซึ่งซาบซึ้งและเป็นการจบที่สวยงามมาก และส่วนตัวแอบดีใจ ที่รู้ว่าตอนตายไม่เจ็บ แอบคิดถึงว่าถ้าเป็นตัวเอง จะตายก็ขอให้ไม่เจ็บแบบนี้

คำที่หนังเน้นพอควร คือคำว่า moment ส่วนตัวคิดว่าสิ่งที่หนังพยายามจะสื่อคือ ทุก moment เป็นสิ่งที่่น่าจดจำ และมีค่า แม้จะเหลือเวลาอีกไม่มาก

_________________________________________________________________________________

วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ไหว้พระเก้าวัด แบบไม่ได้ตั้งใจ

ไปเที่ยวแบบไม่ได้ตั้งใจ

วันพระอยู่ๆ คุณแฟนก็นึกอยากไปเที่ยวทั้งๆที่ไม่ได้วางแผนมาก่อน โดยความตั้งใจคือ นั่งรถไฟฟรี ขี่จักรยานเที่ยวอยุธยา

เนื่องจากไม่มีเวลาหาข้อมูลเลย จึงตั้งใจว่าจะไปกันแบบ Lazy Trip หรือไปเที่ยวแบบขี้เกียจๆ ตอนก่อนนอนก็เข้าเวปรถไฟดูว่ามีรถรอบไหนบ้างที่ทำให้ไม่ต้องตื่นเช้าจนเกินไป ก็พบรถไฟสายกรุงเทพ-พิษณุโลกที่จะผ่านสถานีบางซื่อ สถานีรถไฟที่ใกล้หอพักเรามากกว่าหัวลำโพง รอบ 10 โมง จึงตื่นสายๆ ได้

เช้าวันเที่ยวจริงก็เก็บกระเป๋ากันแบบเร็วๆ แบบว่ามีชุดพอสำหรับการค้าง 1 คืนเผื่อกลับไม่ทัน แล้วก็ออกเดินทางไปสถานีรถไฟบางซื้อค่ะ เนื่องจากตื่นสายทำให้มาถึงรถไฟจอดอยู่แล้ว เราจะวิ่งขึ้นรถไฟเลย แต่คุณแฟนเป๋นคนดีก็วิ่งไปซื้อตั๋วรถไฟ ทั้งๆ ที่มันเป็นรถฟรี พนักงานขายก็ให้ตั๋วที่เขียนว่าตั๋วฟรีมาค่ะ




วันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2557

เรื่องของฟันคุด

แรกเริ่มรู้จักกับฟันคุด

ฟันคุด ทำไมฟันต้องคุดทำไมฟันถึงไม่ขึ้นมาเป็นปกติเหมือนฟันซี่อื่น เป็นสิ่งที่ย้ำคิดมาตลอดตั้งแต่รู้ตัวว่ามีฟันคุด สมัยยังเป็นนักศึกษาเห็นเพื่อนๆ ไปผ่าฟันคุดกันก็รู้สึกโชคดีที่เราไม่มีฟันคุดเหมือนคนอื่นเค้า ตอนจัดฟันสมัยมัธยมก็เคยเอ้กเรย์ทั้งปาก และถอนฟันบนไปข้างละซี่ก่อนจัดฟัน แต่ฟันล่างไม่ได้ถอน จัดฟันเสร็จก็ปกติดีมาจนอายุจะ 30 ถึงได้มาเจออีกทีว่าตัวเองมีฟันคุดโผล่มา

จากที่อ่านมาในเน็ตเค้าว่ากันว่าฟันเรามีเยอะเป็นเรื่องปกติเพราะเมื่อก่อนเรากินเนื้อต้องใช้ฟันบดเคี้ยว แต่พอวิวัฒนาการมาไม่ได้ใช้ขากรรไกรเลยเล็กลงบรรจุฟันนั้นไม่พอ ก็กลับมาคิดว่าเราก็เป็นคนชอบกินเนื้อนะ ทำไมขากรรไกรเราไม่ใหญ่ไปเลย แอบเซ็ง เพราะก็อ่านเจออีกว่าบางรายก็อาจจะไม่เป็นอันตราย แต่บางรายก็เป็น ซึ่งก็คือมีความเสี่ยงนั่นเอง แต่ก็ยังแอบภาวนาว่าอยู่ตรงนั้น ในเหงือกนั่นแหละ อย่าขยับมาข้างหน้าอีกนะ เจ้าฟันคุด

เวลาล่วงเลยมาหลังจากพบว่าตัวเองมีฟันคุด 2-3 ปี ฟันคุดของเราก็เริ่มโผล่ออกมาดูโลก มาเบียดๆฟันซี่เก่า ทั้ง 2 ข้าง และ 1 ข้างก็เริ่มมีเศษอาหารไปติด ต้องแปรงฟันออกทุกครั้งหลังอาหาร และทำให้มีกลิ่นปาก ประกอบกับถามราคาหมอที่ตรวจเจอ หมอบอกว่าประมาณ 2500 ทำให้ตัดสินใจยากขึ้นไปอีก เพราะมันก็เยอะมากสำหรับเรา ประกันบริษัทก็ให้ปีละ 1000 เดียวเอง เลยทำให้เกิดการเลื่อนมาเรื่อยๆ

ผ่ามันออกก็ได้เจ้าฟันคุด

จากปัญหากลิ่นปากที่เกิดขึ้น ประกอบกับการอ่านบทความอันตรายของฟันคุดในเนตมากมาย วันหนึ่งที่คิดว่าเอาวะ ปัญหาเยอะแยะในชีวิตมากมาย เวลาเครียดมันหนักกว่าอีก ผ่าฟันคุดแค่นี้ ประกอบกับลาพักร้อนกลับบ้านต่างจังหวัดยาวด้วย เผื่อเป็นอะไรขึ้นมายังมีคนดูแล ไม่ตายอยู่คนเดียวที่กรุงเทพ

ตัดสินใจได้ก็หาข้อมูลสถานที่ทำ ซึ่งก็ที่จังหวัดบ้านเกิดหาในเน็ตไว้ 3-4 ที่ แล้วก็โทรไปนัดที่ไปประจำเป็นทันตกรรมในมหาวิทยาลัยบอกว่าราคา 1500-4500 แล้วแต่ความยากง่าย นัดวันทำงานสุดท้ายของปีเลย พอวันไปหาจริงคุณหมอดันลา แล้วเราเพิ่งย้ายบ้านพยาบาลบอกว่าโทรไปไม่ติด ก็โทรไปบ้านเก่านี่นาจะติดได้ไง ก็เซ็งๆ แต่ด้วยแน่วแน่แล้วว่าต้องผ่าวันนี้ให้ได้ หาวันลางานยาวๆ แบบนี้ยาก จึงโทรไปหาสถานที่สำรองที่เหลือ จนเจอที่ที่ว่าง บอกว่าคุณหมอว่างเพราะคนไข้ที่นัดไว้ไม่มาไปเที่ยวปีใหม่ ก็คิดว่าตรงข้ามกับที่ที่เรานัดไว้เลย เพราะอันนี้เห็นคนไข้หลายรายเดินออกมาเหมือนเราบอกว่าคุณหมอไปเที่ยวปีใหม่แล้ว แต่ก็เป็นความโชคดีของเราเพราะพอคุณหมอเอ้กเรย์ฟันดู บอกว่าค่าผ่า 700 บาท เองถึงกับอึ้ง เพราะที่หาข้อมูลมา ที่ที่เรานัดที่แรกนั้นถูกที่สุด เพราะถ้าไปคลินิกก็จะ 3000-6000 แหนะ ก็เลยถามคุณหมอว่าทำไมถูกกว่าที่หาข้อมูลมา คุณหมอบอกว่าเราเป็นสถานพยาบาลสาขาของโรงพยาบาลรัฐ เพิ่งรู้เหมือนกัน

ผ่าฟันคุดเรียกว่าหั่นฟันคุดดีกว่า
  • ขั้นแรก ฉีดยาชา คุณหมอฉีดยาชาไม่เจ็บเลย ดีใจมาก ทั้งๆที่ในความทรงจำวัยเด็กเราการฉีดยาชามันช่างเจ็บปวดยิ่งนัก หรือเพราะเราไม่เด็กอีกต่อไปแล้ว 
  • มีดกรีด คุณหมอถามว่าชารึยังๆ เราก็บอกไม่แน่ใจ เอหรือชาแล้วน้อ คุณหมอจึงบอกว่าเดี๋ยวทดสอบชาให้ แล้วคุณหมดก็เอามีดกรีดจึ้กเลย  ไม่รู้สึกอะไรจริงๆด้วยแฮะ 
  • หั่นๆ เนื่องจากฟันคุดนอนสวยงาม ตั้งฉากแถมเบียดเสียดกับฟันที่มีอยู่เลย ก็ตามที่อ่านในเนตมาเลย คุณหมอต้องทำการหั่นฟันออกเป็นชิ้นๆ ก่อนด้วยเครื่องกรอ ซึ่งอย่านึกว่าธรรมกดา มันสะเทือนมาก มากกว่าที่คิดไว้ เรานี่นอนจับมือกันแน่น แน่นเสร็จก็ดิ้นไปดิ้นมาช้าๆ บนเตียง เหมือนปลาเลยค่ะ จนคุณหมอถามว่าเจ็บหรือ เราบอกว่าไม่ได้เจ็บแต่กลัวมากกว่า คุณหมอเลยให้ดิ้นไป ส่วนตัวเราว่าช่วยได้นะ ก็ดิ้นช้าๆ แบบนั้นไปจนคุณหมอหั่นฟันหมดเลย ตอนคุณหมอบอกว่าเอาตัวฟันออกเสร็จแล้ว โล่งเลย แล้วคุณหมอก็บอกว่าเหลือราก โอ้วมีตัวฟันแล้วยังมีรากฟันอีก ก็ดิ้นต่อค่ะทีนี้ รากฟันนี้เหมือนยาก เพราะคุณหมอตะโกนบอกคนอื่นว่าขอเครื่องมือแคะรากฟันนี่ ได้ยินแล้วเรากลัวมากเลยค่ะ ดิ้นต่อไป  เพราะรากนี่เหมือนหั่นๆ แล้วคุณหมอยังพยายามบิดๆ ด้วยค่ะ พอคุณหมอบอกว่าเอารากออกหมดแล้ว จะเย็บแผล เรานี่โล่งจริงๆเลยค่ะ 
  • เย็บแผล เช่นเดียวกับตอนเอามีดกรีด ไม่รู้สึกอะไรซักนิดเดียวเลยค่ะ 
  • หลังผ่า คุณหมอให้ดูฟัน เห็นแต่ราก 2 ราก แหยะมันสุดๆ ตอนนั้นคิดว่ารากอะไรนี่กว่าจะเอาออกมาได้ก็แค่เล็กๆ 2 อัน แล้วคุณหมอก็เอาน้ำแข็งก้อนใหญ่ประมาณอุ้งมือใส่ถุงยามาให้บอกว่าให้ประคบซักพักจะได้ไม่บวม แล้วก็บรรยายการดูแลตัวเอง กัดสำลีไว้ 1 ชั่วโมง  1 อาทิตย์ก็ไปหาที่ตัดไหมที่กรุงเทพซะ คุณหมอเอาใจใส่มากๆ 
  • ยา คุณหมอให้ยาพาราเซ็ตกับอะม็อกซี่มา แต่รู้สึกว่าไม่น่าจะเอาอยู่เลยแวะร้านยาซื้อไอบูแก้ปวดมากมาสำรองไว้  
ฟันคุดออกไปแล้วเหลือไว้แต่แผล

หลังจากผ่าฟันคุดเสร็จแล้วก็ถามคุณหมอว่าอีกนานไม้ค่ะ กว่าจะมาผ่าอีกข้างได้ คุณหมอบอกว่ารอยาชาหมดก่อนเถอะค่อยตัดสินใจว่าจะมาผ่าอีกข้างรึเปล่า เราก็เริ่มรู้สึกกล้วว่ายาชาหมดต้องตายแน่ๆ แล้วคุณหมอก็บอกว่าแต่ยังไงก็ควรผ่าก่อน 30 จะผ่าง่ายกว่า แล้วก็บอกว่าแต่หลัง 30 ก็ได้แค่ จะผ่ายากกว่าแล้วกระดูกจะสร้างช้ากว่า เราก็แอบงงเล็กน้อย ก็กลับมาอ่านในเนตที่บ้านก็เข้าใจ

กลับบ้านปุ้บกินยาทั้งยาแก้อักเสบและยาแก้ปวดมากก่อนเลย จากที่คุณหมอขู่ไว้ก็เดาๆ ได้ว่าคงจะเจ็บมาก คุณเพื่อนบอกให้รีบนอน เราก็ยังไม่เชื่่อดูละครหลังข่าวจนจบถึงนอน พอจะนอนเท่านั้นแหละ ยาชาหมดฤทธิ์พอดี นอนปวดอยู่นานกว่าจะหลับแม้ยาแก้ปวดไอบูก็เอาไม่อยู่
  • วันแรก กินน้ำต้มข้าวไป 2 ช้อนกับ นม 1 กล่อง น้ำเกลือ 1 ซอง 
  • วันที่ 2 เหมือนวันแรก ไม่มีแรง นอนเป็นผักเลย โชคดีที่เป็นวันหยุด
  • วันที่ 3 เริ่มกินเนื้อไก่อบนุ่มๆได้ โดยใช้ฟันหน้าเคี้ยวๆ เอา
  • วันที่ 4 กินข้าวไก่ทอดโดยเคี้ยวอีกข้างได้ แต่ก็ยังไม่กล้าอ้าปากกว้าง
  • วันที่ 5 เหมือนวันที่ 4 แต่ก็กินได้น้อย
ไม่รู้คนอื่นเป็นไม้ แต่เราไม่กล้าอ้าปากกว้างๆ ดูแผลเลยกลัวแผลฉีก แล้วก็ตอนเช้าจะเจ็บแผลมากกว่าตอนอื่นๆ ผ่านมา 5 วันต้องกินไอบูตลอด ก็ลองไม่กินยาดูว่าจะอยู่ได้ไม้ ผลคืออยู่ไม่ได้และกินอะไรไม่ได้เลยถ้าไม่มียาแก้ปวด เพราะเวลากลืนแม้แต่น้ำก็เถอะ มันเหมือนลิ้นไปโดนฟัน เจ็บแผลมาก ต้องกินยาแก้ปวดให้หายเจ็บแผลแล้วถึงกินอะไรได้ จนจะเป็นโรคกระเพาะแล้วเพราะบางทีกินยาตอนท้องว่างยาก็กัดกระเพาะ แต่ทำไงได้มันเจ็บมาก 

แล้วฟันคุดอีกข้าง

คงต้องใช้เวลาทำไจอีก แต่ก็คงทำใจนานไม่ได้เพราะมันก็โผล่มาแล้วเหมือนกัน แต่ข้างนี้ไม่ทำให้มีกลิ่นปากเหมือนข้างที่ผ่าออก มันอาจจะยังอยู่ได้อีกพักใหญ่ก็ได้

Update หลังผ่านไป 1 เดือน

ตัดไหมแล้ว ไม่เจ็บเลย สิ่งที่ทำทุกวันคือแปรงฟันทุกหลังมื้ออาหาร รักษาความสะอาดมากๆ บ้วนปากแรงๆ เพราะกลัวมีอะไรไปติด แล้วก็ชอบมีอะไรไปติดด้วยซิ ตอนนี้กำลังทำใจและหาเวลาไปผ่าอีกซี่

_______________________________________________________________________________
ผ่าฟันคุดอีกข้าง 

ไปผ่าที่เดิมด้วยความงกเงิน แต่เป็นหมออีกคน เนื่องจากพยายามนัดหมอคนเดิมแต่คุณหมอดันไปเมืองนอกทั้งสงกรานต์ ไอ้เราก็ต้องวันหยุดยาวถึงจะผ่าได้ เลยจำเป็นต้องผ่ากับหมออีกคน ปรากฏว่าต่างกันกับครั้งแรกโดยสิ้นเชิง
  • ขั้นแรก ฉีดยาชา คุณหมอฉีดยาชาเจ็บ เหมือนสมัยความทรงจำในวัยเด็กเลย 
  • มีดกรีด รู้สึกว่าหมอเอามีดกรีดกระทบฟันคุดเลย 
  • หั่นๆ และดึงๆ คุณหมอคนนี้เหมือนจะโปรกว่าคนที่แล้ว ด้วยความว่าคุณหมอกรออย่างรวดเร็ว และดึงๆ แบบว่าเร็วมาก และเจ็บมาก แม้ฉีดยาชา ยกมือบอกหมอว่าเจ็บ หมอบอกว่าฟันมันติดกระดูก ก็บิดๆ เจ็บร้าวสุดๆ แต่ก็แป็บเดียว ไม่ถึง 15 นาที พอหมอบอกว่า ฟันออกหมดแล้ว ยกมือดีใจเลย 
  • เย็บแผล ไม่รู้สึกอะไรซักนิดเดียว 
  • หลังผ่า  เป็นลมตั้งแต่ลุกออกจากเตียง นอนที่เตียงดมยาดมต่ออีก 15 นาที ลุกมาจ่ายตังค์ ก็เป็นลมหน้าช่องจ่ายตังค์อีกรอบ ไปนอนเตียงอีก 15 นาที ถึงลุกไหว 
  • ยา คุณหมอให้ยาพาราเซ็ตกับอะม็อกซี่มา แต่ไปซื้อยาแก้ปวดร้านยามาเพิ่มได้ celebrex มา วันแรกกินทั้งพาราเซ็ต ทั้ง Celebrex พออยู่ได้ มีปวดตึงบ้าง
  • ตัดไหม ผ่านไป 7 วันไปตัดไหม บอกคุณหมอว่ายังไม่กล้าอ้าปากกว้าง หมอบอกว่าให้พยายามอ้าอ้า ให้เอานิ้วตั้งได้ 3 นิ้ว ลองดูก็ทำได้แฮะ คุณหมอตัดไหม ครั้งนี้หมอบอกว่าไหมอยู่ไกล้ซอกฟัน แล้วต้องดึง ก็ตึงๆ นิดนึง แต่ไม่ถึงกับเจ็บ และเนื่องจากครั้งนี้ตัดไหนที่เดี่ยวกับที่ผ่าที่แรก ไม่เสียค่าตัดไหมด้วยค่ะ ดีใจมากมาย เพราะครั้งที่แล้ว กลับกรุงเทพก่อนครบ 7 วัน ต้องไปตัดไหมที่คลินิคเสียไป 200 บาท
_______________________________________________________________________________













วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการไปภูกระดึง


คติชีวิตที่คิดได้ระหว่างขึ้นภูกระดึง

"การเดินขึ้นภูกระดึง ควรเดินช้าๆ อย่างมั่นคง ทุกย่างก้าวมีความหมาย"

"เมื่อเจอทางเดินหลายทาง จงเลือกทางที่เหมาะสมกับเรา อย่าเดินตามคนอื่น"

"ไม้เท้าเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญมาก ควรหาติดตัวไปตั้งแต่ทางขึ้น เพราะมันจะพยุงเราไปตลอดทางตั้งแต่เดินขึ้นจนเดินลงมาที่เดิม"

"การเตรียมตัวขึ้นภูนั้นสำคัญมาก ถ้าเตรียมตัวมาดีย่อมดีกว่าเสมอ"

"ความอดทนเป็นสิ่งสำคัญ"

ทั้งหมดก็คล้ายคลึงกับการใช้ชีวิตคน เราควรก้าวเดินชีวิตช้าๆ อย่างมั่นคง ไม่รีบร้อน เมื่อเจอสิ่งที่ต้องตัดสินใจ ให้เลือกสิ่งที่เหมาะสมกับเรามากที่สุด ไม่เลือกตามคนอื่น หรือเพราะผู้อื่นจูงใจ ชีวิตควรมีเพื่อนคู่คิด ที่จะคอยพยุงจิตใจหรือร่างกายของเราให้สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้ในทุกๆวัน การเตรียมตัวสำหรับทุกอย่างนั้นสำคัญมาก และสุดท้ายความอดทน อันนี้คงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก เพราะในชีวิตก็มีหลายๆ เรื่องที่เราต้องอดทนในทุกๆวัน


_____________________________________________________________

สิ่งของเตรียมตัวขึ้นภูกระดึง

ก่อนไปอย่างแรกที่ทำก็คือ อ่านประสบการณ์เพื่อนพี่น้องที่ไปมาว่าเป็นยังไงบ้าง อะไรจำเป็นบ้าง
สรุปเป็นรายการสิ่งของของตัวเองได้ดังนี้ค่ะ


อันนี้เป็น Text สำหรับใครจะ Copy ไปใส่ Excel นะ
ลำดับ ของ
เสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้
1 เสื้อผ้ากลางวัน
2 ชุดนอนหนาๆ
3 ชั้นใน
4 แปรงสีฟัน, ยาสีฟัน
5 สบู่, โฟมล้างหน้า, ยาสระผม, ครีมนวดผม
6 แป้งฝุ่นทาตัว
7 วาสลีนทาตัว ทาหน้า
8 เครื่องสำอาง ครีมกันแดด แป้งเด็ก, บรัชออน
9 เสื้อหนาว, ถุงมือ, หมวกกันหนาว, ผ้าพันคอ
10 แว่นกันแดด, ร่ม
11 หมวกกันแดด
12 ผ้าเช็ดตัว, ผ้าที่เอาไว้เช็ดตัวเวลาอาบน้ำไม่ไหว
13 ถุงเท้าหนา
14 รองเท้าพละ
15 รองเท้าแตะใส่อาบน้ำ
ยารักษาโรค
1 ยาคุม
2 ยาพาราเซ็ต, 
3 ยาแก้ปวดมาก iburofen, ยาแก้ปวดเข่า
4 ยาคลายกล้ามเนื้อ
5 พลาสเตอร์ยาตราเสือ
6 ยาดม, หม่อง
7 ยาทาแผลสด พลาสเตอร์ปิดแผลสด
8 ยาแก้แพ้แมลงสัตว์กัดต่อย
9 ยาแก้แพ้ทั้งแบบง่วงและไม่ง่วง
10 ยาแก้ท้องเสีย
11 ยานวดเคาร์เตอร์เพน
12 เสปรย์กันยุง
13 ครีมแก้คัน, ครีมผิวแตก
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
1 มือถือ
2 ที่ชาร์ตแบตมือถือ
3 กล้องถ่ายรูป
4 ที่ชาร์ตกล้องถ่ายรูป
อุปกรณ์กางเต้นท์
1 เชือกเยอะๆ เผื่อผูกตากผ้าด้วย
2 ไฟฉาย
3 ไฟแช็ค
4 เต้น
5 พลาสติกรองเต้น+คลุมเต้น
6 กุญแจล็อกเต้น
7 ตะขอไว้แขวนของเวลาอาบน้ำ
ของใช้อื่นๆ
1 ทิชชู่ม้วน
2 ขวดน้ำเปล่า
3 กระเป๋าใบใหญ่ๆ
4 กระเป๋าติดตัว
5 ถุงขยะ

พอกลับลงมาก็พบว่าหอบขึ้นไปเยอะเกิน เพราะบางอย่างข้างบนก็มีขาย เราหอบขึ้นไปถ้าไม่ได้ใช้ก็เสียค่าน้ำหนักให้ลูกหาบทั้งขึ้นและลง ตัวอย่างของที่หอบขึ้นไปแล้วไม่ได้ใช้ เช่น

  • ถ่านไฟฉาย อ่านรีวิวหลายๆ คนบอกว่าต้องเอาไป เราก็บ้าเอาไป 12 ก้อน สรุปถ่านไม่หมดเลย
  • ถุงขยะ เพราะเราซื้อของร้านไหนเค้าก็ให้ถุงมาอีก ถุงที่พับขึ้นไปเลยแทบไม่ได้ใช้ค่ะ 
  • เชือกเยอะๆ กะว่าจะผูกเต้นกะต้นไม้หรือเสาข้างนอกตากผ้า สรุปคือ น้ำค้างเยอะมาก ตากไม่ได้
  • เสปรย์กันยุง ไม่ได้ใช้เลย เพราะหนาวมากจนเครื่องแต่งกายคลุมทุกส่วน และหนาหลายชั้น
  • ร่ม ไม่ได้ใช้เช่นกัน เพราะถ้าแดดออกก็ใช้แค่แว่นกันแดดกับหมวกก็อยู่แล้ว
  • ผ้าที่เอาไว้เช็ดตัวเวลาอาบน้ำไม่ไหว ไม่ได้ใช้เพราะไม่ได้อาบน้ำ และเอาตัวแตะน้ำเลย

บางท่านอาจจะอ่านแล้วถามว่า ถุงกันทาก กับที่โรยกันทากรอบเต้นละ ลืมบอกไปว่าไปมาตอนหน้าหนาวมาก อุณหภูมิต่ำสุด 2 องศา เฉลี่ยทั้งวันก็ 12-15 ประมาณเนี่ยค่ะ หนาวจนไม่มียุง ไม่มีทาก แทบไม่เห็นแมลงซักตัว เจอแต่มดดำตัวยักษ์ผู้อดทนต่อความหนาว 
_____________________________________________________________

การผจญความหนาวเหน็บครั้งแรกในชีวิตบนภูกระดึง

ก่อนไปก็ได้ตรวจสอบพยากรณ์อากาศก่อน เค้าบอกว่าจะต่ำสุดประมาณ 10-15 องศา ก็คิดว่าคงอยู่ได้ แต่พอไปจริง ต่ำสุด 2 องศา 4 องศา ไม่อยากจะเชื่อว่าผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ จากที่ตั้งใจว่าจะอาบน้ำทุกวัน กลายเป็นไม่ได้อาบน้ำเลย 3 วัน นี่เรื่องจริงค่ะ อาบแต่ขึ้นไปถึงรอบเดียวเท่านั้น นอกนั้นแตะน้ำเฉพาะล้างหน้า ล้างส่วนนั้น ล้างเท้า กับแปรงฟันเท่านั้นเลย

กลางคืนนอนหนาวขนาดนอนหลับๆ ตื่นๆ ตลอด และได้ยินเสียงน้ำหยดติ้งๆ ตลอดเป็นน้ำที่หยดจากต้นไม้ลงมาที่เต้น ไม่เคยเห็นน้ำค้างเป็นหยดๆ เพิ่งเจอจริงๆ ครั้งแรกเลย

ถ้าใครเป็นภูมิแพ้อากาศ ซึ่งเราเป็น ยาแก้แพ้อะไรกินเข้าไปให้หมด เอาไม่อยู่ซักอย่าง กลางคืนจมูกไม่โล่งเลย เพราะหนาวมาก จนต้องหายใจด้วยปากตลอดจนหลับ

แล้วถ้าอากาศหนาวเราจะกินเยอะ อันนี้คนอื่นไม่รู้เป็นรึเปล่านะ แต่เราเป็น เดินขึ้นภู ลงภู ต้องซื้อของกินทุกซำ เดินไปดูพระอาทิตย์ขึ้น แทบอยากจะแกะห่อข้าวกินตั้งแต่กลางทางเดิน พอไปถึงผารอพระอาทิตย์ขึ้น อย่างแรกที่ทำคือแกะของกิน เพราะหิวมาก ระหว่างทางเดินเที่ยวต้องมีของกินตลอดไม่งั้นไม่มีแรงค่ะ ทางเดินกลับผาหล่มสักมืดๆ ไกลๆ เราซื้อมันเผา 2 หัวกัดกินตลอดทางเดิน 9 กม ทั้งๆที่กินข้าวแล้วด้วย แล้วก็มีวันนึงเดินไปชมน้ำตกพลาดเองไม่ได้เอาของกินไปเลย เพราะกินข้าวเช้าเยอะมาก หิวตั้งแต่น้ำตกแรก จนน้ำตกสุดท้าย แทบจะคลานกลับด้วยความหิวเลย

_____________________________________________________________

การแต่งกายผจญภูกระดึง

  • การแต่งตัวขึ้นภูกระดึง อ่านประสบการณ์คนอื่นบอกว่าต้องใส่ขาสั้นเท่านั้น ทะมัดทะแมง เสื้อสบายๆ เพราะเดี๋ยวจะเปียกเหงื่อทั้งตัว ความเป็นจริงที่เจอ เนื่องจากอากาศหนาวมาก และเราเดินช้ามาก เหงื่อออกจริงๆแค่ช่วงสุดท้ายก่อนถึงบนภูเท่านั้นที่มีความชันมาก ก่อนหน้านั้นหนาวเหน็บตลอด เราเอาขาสั้นใส่เป้ไปกะเปลี่ยนกลางทางรอเหงื่อออก แต่ไม่ออกเลย 
  • ชุดเดินเที่ยวภูกระดึง ที่ดูจากรูปเพื่อนๆ ก็วางแผนไว้ว่าเอาถ่ายรูปสวยๆ ใส่เล้กกิ้ง กระโปรงสั้น เกาหลีน่ารัก สรุปหนาวมากไม่ไหว ต้องกางเกงขายาวเท่านั้น แล้วเราเอากางเกงขายาวไปตัวเดียวสรุปใส่ตัวนั้นทุกวันค่ะ 
  • ชุดกินข้าวกลางคืนบนภูกระดึง ต้องใส่เสื้อธรรมดา 2 ชั้น เสื้อหนาวอีก 2 ชั้น ถุงเท้า 2 ชั้น กางเกงเล้กกิ้ง กับกางเกงนอนหนา ขนาดถุงมือยังใส่ 2 ชั้น ชัั้นแรกใส่แบบเปิดนิ้ว อีกชั้นใส่ถุงมือปิดหมด ถึงไปนั่งกินข้าวกลางลมหนาวอยู่ค่ะ เพราะร้านข้าวทั้งหมดเป็นแบบโต๊ะนั่งด้านหน้าร้าน มีที่กันฝน แต่ไม่กันลมเลย นั่งกินข้าวไปลมพัดตลอดค่ะ ไอน้ำออกปากตลอดเวลา เราเล่นพ่นไอน้ำสนุกสนานเลยค่ะ 
  • ชุดนอน ก็คล้ายๆ ชุดกินข้าวกลางคืนค่ะ เน้นหนาเข้าไว้ไม่ต้องกลัวอึดอัด เพราะจะนอนไม่หลับเอาค่ะ
_____________________________________________________________

สิ่งที่คิดผิดไปในการขึ้นภูกระดึง

  • เอาเต้นไปเอง เอาถุงนอนไปเอง ก็ไม่อยากจะบอกว่าไม่เคยเช่าอะไรของอุทยานใช้เลย กลัวว่าไม่ดีนู้นนี่ แต่พอไปจริงถุงนอนเราเอาไม่อยู่ค่ะ ต้องไปเช่นถุงนอนอุทยาน และปรากฎว่าถุงนอนอุทยานอุ่นมากน่าตกใจ ใส่ 2 ชั้นกับถุงนอนเราถึงหลับได้ค่ะ แล้วการกางเต้นในวันแรก และเก็บเต้นในวันสุดท้ายในสถานที่ ที่ลมหนาวพัดตลอดมันช่างเป็นเรื่องที่ทรมานเหลือเกิน ลมแรงขนาด กางเต้นไว้ไม่ตอก เต้นปลิวไปหลายเมตรเลย จนตั้งใจเลยว่าถ้าไปเที่ยวไหนอีก ถ้าพยากรณ์อากาศบอกว่าจะอุณหภูมิต่ำกว่า 15 องศา ต้องจองบ้านพักให้ได้ หรือนอนเต้นอุทยานไปเลยค่ะ
  • ไม่เช่าผ้าปูรองนอนในคืนแรก ก็เคยนอนเต้นแข็งๆที่อื่นก็หลับนะค่ะ แต่ว่าเนื่องจากอากาศหนาวและปวดตัวจากการเดินขึ้น มาเจอพื้นแข็งๆ อีกนอนแทบไม่หลับค่ะ เช้ามาเดินไปเช่าผ้าปูรองนอนก่อนเลย
  • ไม่พิมพ์ (Print) แผนที่ภูไป เนื่องจากอ่านประสบการณ์ท่านอื่นเค้าบอกว่ามีแผนที่ และโปรแกรมเที่ยวแจก ว่า 2 วันไปไหน 3 วันไปไหน ขึ้นไปปรากฎว่าไม่มีค่ะ ไม่มีเลยโปรแกรมเที่ยวก็ไม่มี แผนที่แจกฟรีก็ไม่มี มีแต่ขายในราคา 10 บาทได้แค่แผนที่ภูคร่าวๆ เท่านั้น แล้วอย่าคิดว่าจะเปิดแผนที่ในมือถือตลอดได้นะคะ เพราะเราพยายามทำอย่างนั้นแล้วเปิดแผนที่ดูตลอดแบตหมดก่อนเดินถึงผาหล่มสักอีกค่ะ ต้องเป็นกระดาษถือได้เท่านั้นค่ะ สำหรับเราต้องไปแบบไม่มีแผนที่ เนื่องจากลืมพิมพ์แผนที่ไป ลืมจริงๆ วันสุดท้ายก่อนลางาน งานยุ่งมาก ทั้งๆที่ เตรียมใส่ไฟล์ไว้เรียบร้อย แล้วขึ้นไปซื้อแแผนที่ 10 บาทก็ทำหล่นน้ำตั้งแต่เช้าที่ออกเดินเที่ยวเลย ทำให้ต้องดูป้ายบอกทางตลอดค่ะ 
จริงๆก็ถ่ายแผนที่ด้านล่างทางขึ้นไปนะคะ แต่พอถ่ายรูปไปเยอะๆ แล้วกว่าจะเลื่อนกลับมาถึงมันยากมาก




_____________________________________________________________

ค่าใช้จ่ายที่ใช้ไปในการขึ้นภูกระดึง

กินแบบประหยัดทั้งๆที่หิวนะค่ะ 2 คนประมาณ 3500 ไม่เกินนี้ค่ะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเอาเงินสดไปอย่างน้อยคนละ 3000 เพื่อความปลอดภัยค่ะ เรากลัวมาก กลัวอดตายเอาไป 10000 โชคดีไม่หมด เพราะกินเยอะอย่างประหยัดค่ะ เคล็ดลับการประหยัดค่าใช้จ่ายของกินบนภูกระดึงดังนี้ค่ะ

  • ถ้าอยากกินน้ำหวาน ให้ไปซื้อลูกอมแทนค่ะ เพราะโค้กขวดเล็กข้างบนขวดละ 30 ค่ะ ลูกอมห่อละ 10 บาทให้ความหวานได้นานกว่า แล้วกินน้ำเปล่าค่ะ
  • ร้านข้าวตามผาต่างๆ ให้เยอะกว่าที่ศูนย์ที่เรากางเต้นท์ ให้ไปกินที่นั่น โดยเฉพาะร้านข้าวผาหล่มสัก เยอะขนาดกินได้ 2 คนอิ่มเลยค่ะ
  • การกินมันเผากับข้าวเหนียวห่อ ไม่แน่ใจว่าเรียกว่าอะไร ที่เป็นข้าวเหนียวห่อไส้มัน ไส้กล้วย ให้ความอิ่มดีมากค่ะ
  • ไข่กะทะไม่อิ่ม กินข้าวเป็นจานคุ้มกว่า
จริงๆ เราก็วางแผนค่าใช้จ่ายก่อน ดังนี้ค่ะ เรารวมตั้งแต่เราเดินทางขึ้นรถทัวร์ออกจากกทมไปขึ้นรถเพื่อนที่โคราช และค้างคืนที่ชุมแพจะได้ไม่เหนื่อยตอนเช้าเดินขึ้นภูกระดึง





_____________________________________________________________

ทางเดินขึ้นภู

บอกตามตรงเลยว่าก่อนจะขึ้นภูก็หาข้อมูลแล้ว เตรียมตัวเตรียมใจแล้ว แต่....มันเหนื่อยมากจริงๆ เรามาดูภาพทางขึ้นสวยๆกันนะ

เคล็ดลับเล็กๆ คือ เดินขึ้นไม่ต้องรีบค่ะ เดินไปชมความสวยงามของธรรมชาติไป จะดีกว่า

เริ่มกันจากทางขึ้น เห็นโล่งๆ เนื่องจาก เค้าขึ้นไปกันหมดแล้ว ประมาณ แปดโมงกว่าแล้ว




รูปนี้ค่อนข้างสำคัญ เผื่อเหตุด่วยเหตุร้ายอะไร ก่อนขึ้น จดไว้ก่อนก็ดีค่ะ


รูปนี้เห็นบันไดห่างๆ ยังพอเดินสบาย

พอมาถึงบันไดแบบนี้ อย่านึกว่าเดินสบาย ไม่เลย


ทางวกวนนี้เป็นการหลีกเลี่ยงทางที่ชันมาก เราจะเดินเป็นตัววี ไปมา


มีที่นึงมีแคร่ให้นั่งพักเหนือย มีร้านค้าให้ซื้อของกิน นั่งกินด้วย 


 ทางที่ต้องเดินบนหินมีเยอะมาก จงเลือกรองเท้าที่พาคุณทรงตัวได้แม้บนหิน ที่เยอะมากๆ

และเมื่อถึงบันไดคู่ หน้าตาแบบนี้จงจำไว้ว่า คุณถึงยอดเขาแล้ว

 _____________________________________________________________

ทางเดินบนภู

ทางเดินบนภูแบ่งเป็น 2 ส่วน
1. ทุ่งซาวันนาแบบไทยๆ ราบเรียบ มองเห็นทุ่งสุดลูกหูลูกตา และต้นไม้ที่ดูแห้งๆ


ลองดูขนาดต้นไม้กับขนาดคนตัวเล็กๆ จะเห็นว่าต้นไม้สูงมาก


บางที่จะมีพื้นเป็นหิน หินจริงๆ หินกว้างๆ เป็นลานหิน

 ต้นไม้แห้งๆ



ทุ่งหญ้ากว้างไกล แลดูเหมือนทุ่งซาวันน่า ในสารคดี

ตอนเดินผ่าน นี่หวั่นๆ จะมีสัตว์วิ่งมา เพราะมันโล่งจริงๆ


และมีบ่อน้ำเล็กๆ บางบ่ออยู่ท่ามกลางทุ่มหญ้า



2. ตรงน้ำตก มันทางชันๆ เปียกๆ เต็มไปหมด อันนี้ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปมา เพราะเดินลำบาก จะได้ถ่ายกลางน้ำตก กับพืชสวยๆ เลยมากกว่า







 _____________________________________________________________

เมเปิ้ลสีแดง

ตอนไปก็หนาวพอดีเลยได้เห็นใบไม้แดงๆ  รูปร่างแปลกๆ นี้กัน

เมเปิ้ลแดงส่วนใหญ่จะอยู่โซนน้ำตกที่ชื้นๆ บางต้นก็อยู่ใต้น้ำตกแบบนี้เลย






 ต้นนี้แดงสุดอยู่ติดแค้มเลย เจ้าหน้าที่น่าจะเอามาปลูก

 _____________________________________________________________
พระอาทิตย์


พระอาทิตย์ตก


 พระอาทิตย์ขึ้น
 แสงสวยๆ ยามเช้ากับต้นไม้ใหญ่ๆ

ท้องฟ้า
รูปนี้ถ่ายตอนยังอยู่ที่เตี้ย




 ตอนที่ไปโชคดี หรือร้ายไม่รู้แต่หมอกเยอะมาก ไม่ค่อยเห็นวิวด้านล่าง


รูปนี้ท้องฟ้าบนภู ขึ้นไปถึงปุ้บ ถ่ายเลย 

 นี่ก็บนภู

 



















บริเวณที่กางเต้น

ลานกว้างเห็นเต้นลิบๆ

เต้นของอุทยาน

 อาคารเจ้าหน้าที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว


 เจ้านี่เดินรอบลานกางเต้นท์เลย น่ารักดี แต่ไม่กล้าเข้าใกล้

สิ่งละอันพันละน้อย

หินที่ตั้งๆ อยู่



 ต้นไม้แห้งๆ ที่มีอะไรไม่รู้อยู่ตรงกลาง

ป้ายเตือนช้าง เห็นแล้วก็กลัวๆ

 เจ้าตัวนี้เห็นตอนแรกนึกว่ากิ่งไม้ ดีที่ไม่นั่งทับ

ห้องน้ำที่นี่ช่วยชีวิตเราไว้เพราะปวดหนัก เข้าได้แค่ห้องเดียวด้วย


















หมดแล้วรูป นี่คัดมาแล้วนะ ถ่ายมาเยอะมากๆ กล้องตัวเล็กๆ ปรับอะไรไม่ได้ 
ถ่ายเร็วๆ ได้ขนาดนี้ก็เก่งแล้วเน้อ